top of page

บทความจากศิษยาภิบาล ฉบับวันที่ 19 มิถุนายน 2022

คริสตจักรขอนแก่นยินดีต้อนรับพี่น้องทุกๆ ท่านสู่การนมัสการในทุกๆ รอบด้วยความชื่นชมยินดียิ่งในพระองค์ ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงโปรดอำนวยอวยพระพรมาเหนือพี่น้องทุกๆ ครอบครัวโดยถ้วนทั่วหน้ากัน ในสัปดาห์นี้ใคร่ขอนำพี่น้องมาใส่ใจในพระวจนะของพระองค์ให้มากยิ่งขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งของชีวิตโดยเฉพาะการยึดเอาชีวิตของท่านเอสราเป็นแบบอย่างของชีวิตในพระคำ กล่าวคือ

“เพราะเอสราได้ตั้งใจของท่านที่จะศึกษาธรรม บัญญัติของพระเจ้า และกระทำตามและสอนกฎเกณฑ์และกฎหมายของ พระองค์ในอิสราเอล” เอสรา 7:10

และพระธรรม

“12เพราะว่า พระวจนะของพระเจ้านั้นไม่ตายและทรงพลานุภาพอยู่เสมอ คมยิ่งกว่าดาบสองคมใดๆ แทงทะลุกระทั่งจิตและวิญญาณ ตลอดข้อกระดูกและไขในกระดูก และสามารถวินิจฉัยความคิดและความมุ่งหมายในใจด้วย 13ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดซ่อนไว้พ้นพระเนตรพระองค์ แต่ตรงข้ามทุกสิ่งปรากฏแจ้งต่อพระองค์ผู้ซึ่งเราต้องสัมพันธ์ด้วย” ฮีบรู 4:12-13

แท้จริงพระธรรมเหล่านี้เราก็มักจะคุ้นเคยอยู่เสมอ ในชีวิตคริสเตียนของเราเป็นอย่างดี ในครั้งนี้อยากนำพี่น้องมาศึกษาถึงพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะเข้าเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราได้อย่างไร ถ้าชีวิตของเราขาดพระคำชีวิตของเราก็จะสามารถเปรียบเปยได้กับเรือในมหาสมุทธที่ขาดทิศทางที่จะเดินทางไป จะรู้สึกถึงการอ้างว้างขาดซึ่งความหวัง จุดหมายปลายทางที่จะไป พระวจนะจึงเป็นเสมือนอุปกรณ์ในการเดินทางออกจากที่หนึ่งไปสู่อีกจุดหมายปลายทางหนึ่งอย่างดีถูกต้อง และปลอดภัย หรือหากแม้มีอุปสรรคหรือปัญหาใดๆ ก็สามารถเอาชนะและก้าวข้ามสิ่งเหล่านั้นไปได้ด้วยดี และพระธรรมอิสยาห์ก็ได้กล่าวเช่นกันว่าดังนี้

“10“เพราะฝนและหิมะลงมาจากฟ้าสวรรค์ และไม่กลับที่นั่นเว้นแต่รดแผ่นดินโลก กระทำให้มันบังเกิดผลและแตกหน่อ อำนวยเมล็ดแก่ผู้หว่านและอาหาร แก่ผู้กินฉันใด 11คำของเราซึ่งออกไปจากปากของเรา จะไม่กลับมาสู่เราเปล่า แต่จะสัมฤทธิ์ผลซึ่งเรามุ่งหมายไว้ และให้สิ่งซึ่งเราใช้ไปทำนั้นจำเริญขึ้นฉันนั้น” อิสยาห์ 55:10-11

พระวจนะเป็นจริงเสมอและนำพาชีวิตเราไปสู่ความเจริญในพระองค์อย่างแน่แท้ การที่พระวจนะจะสามารถนำพาชีวิตของเราได้ มีหลายสิ่งที่เราพึงตระหนักอยู่เสมอดังจะกล่าวโดยสังเขปคือ


(1) เริ่มต้นจากที่เราเป็นอยู่หรือมีอยู่ในปัจจุบัน

“แต่เราได้แค่ไหนแล้ว ก็ให้เราดำเนินตรงตามนั้นต่อไป” ฟิลิปปี 3:16

เราได้แค่ไหนก็ให้เดินตรงตามนั้นต่อไป เราต้องรู้สภาพความเป็นไปในชีวิตปัจจุบันของเราเอง ยอมรับความอ่อนแอ ความจำกัดแห่งชีวิตของเราเอง เราเองก็ต้องมีใจปรารถนาที่อยากจะเจริญเติบโตเข้มแข็งขึ้นในพระองค์ เราไม่สามารถเติบโตขึ้นสู่ความไพบูลย์ในพระองค์โดยปราศจากพระวจนะได้เลย เราต้องเริ่มต้นกระหายและเอาจริงเอาจัง เอาใจใส่ในพระคำของพระองค์ เปาโลจึงหนุนใจเราดังนี้ว่า

“12มิใช่ว่าข้าพเจ้าได้แล้ว หรือสำเร็จแล้ว แต่ข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งไป เพื่อข้าพเจ้าจะได้ฉวยเอาไว้เป็นของตน อย่างที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงฉวยข้าพเจ้าไว้เป็นของพระองค์แล้ว 13ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่ถือว่าข้าพเจ้าได้ฉวยไว้ได้แล้ว แต่ข้าพเจ้าทำอย่างหนึ่ง คือลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมาแล้วเสีย และโน้มตัวออกไปหาสิ่งที่อยู่ข้างหน้า 14ข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งไปสู่หลักชัย เพื่อจะได้รับรางวัล ซึ่งในพระเยซูคริสต์พระเจ้าได้ทรงเรียกจากเบื้องบน ให้เราไปรับ” ฟิลิปปี 3:12-14

พัฒนาตนเองในพระคำเสมอๆ เรียนรู้มิได้ขาดอย่างเอาใจใส่เป็นอย่างดี


(2) เรามีองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วยตลอดเวลา


ทรงเป็นองค์พระบิดานิรันดร์ องค์สันติราชในพระองค์โดยพระองค์ มีฤทธิ์แห่งพระวจนะและฤทธานุภาพขององค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสถิตด้วยเสมอ ทรงพระชนม์เป็นอยู่ทรงทอดพระเนตรเราอยู่เสมอๆ ยอมรับถึงความอ่อนแอ ความจำกัดของเราและมอบชีวิตของเราไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ เชื่อฟังในพระคำ เดินตามพระวจนะที่ได้ทรงสอนเราไว้

“5ท่านจงอย่าเป็นคนเห็นแก่เงิน จงพอใจในสิ่งที่ท่านมีอยู่ เพราะว่าพระองค์ได้ตรัสว่า เราจะไม่ละท่าน หรือทอดทิ้งท่านเลย 6เหตุฉะนั้นเราทั้งหลายอาจกล่าวด้วยใจเชื่อมั่นว่า องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงเป็นพระผู้ช่วยของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่กลัว มนุษย์จะทำอะไรแก่ข้าพเจ้าได้เล่า” ฮีบรู 13:5-6

ขอแต่เพียงพวกเราให้ดำเนินชีวิตด้วยความวางใจในพระองค์เสมอไป

“ความยำเกรงพระเจ้าเป็นความไว้วางใจของท่านมิใช่หรือ และการประพฤติดีรอบคอบของท่านเป็นความหวัง ของท่านมิใช่หรือ” โยบ 4:6

และ

“จงมอบทางของท่านไว้กับพระเจ้า วางใจในพระองค์ และพระองค์จะทรงกระทำให้สำเร็จ” สดุดี 37:5

(3) ส่งต่อพระพรแห่งพระวจนะไปยังผู้อื่นต่อๆ ไปอย่างไม่มีวันสิ้นสุดพระวจนะติดแน่นในสวรรค์เป็นนิจ


เป็นความจริงที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปเลย พระวจนะส่งผลดีต่อตัวเราเอง ต่อผู้อื่น ต่อชนชาติต่างๆ อย่างแน่แท้ เราต้องถ่ายทอดสอนคนอื่นๆ ด้วยทางตรง โดยทางอ้อมมีชีวิตที่เป็นแบบอย่างต่อผู้อื่นให้ได้เห็นให้ได้สรรเสริญในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า

“19และท่านจงสอนถ้อยคำเหล่านี้แก่บุตรหลานของท่านทั้งหลาย จงพูดถึงถ้อยคำเหล่านี้เมื่อท่านอยู่ในเรือน และเมื่อท่านเดินอยู่ตามทาง เมื่อท่านนอนลงหรือลุกขึ้น 20ท่านจงเขียนคำเหล่านี้ไว้ที่เสาประตูเรือน และที่ประตูของท่าน 21เพื่ออายุของท่านและอายุของบุตรหลานของท่านจะได้ยืน นานในแผ่นดิน ซึ่งพระเจ้าทรงปฏิญาณที่จะประทานแก่บรรพบุรุษของท่าน ตราบเท่าที่ฟ้าสวรรค์อยู่เหนือโลก 22เพราะถ้าท่านระวังที่จะกระทำตาม บัญญัติทั้งปวงซึ่งข้าพเจ้าได้บัญชาท่าน คือรักพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ดำเนินในทางทั้งสิ้นของพระองค์ และติดสนิทอยู่กับพระองค์แล้ว 23พระเจ้าจะทรงขับไล่บรรดาประชาชาติเหล่านี้ให้ออกไปพ้นหน้าท่านทั้งหลาย แล้วท่านจะเข้ายึดแผ่นดินของประชาชาติที่ ใหญ่กว่าและมีกำลังมากกว่าท่าน 24ฝ่าเท้าของท่านทั้งหลายจะเหยียบลงที่ใด ที่นั่นจะเป็นของท่าน อาณาเขตของท่านจะ เริ่มจากถิ่นทุรกันดารไปจนถึงเลบานอน และจากแม่น้ำ คือแม่น้ำยูเฟรติสไปจนถึงทะเลตะวันตก 25จะไม่มีผู้ใดสามารถต่อต้านท่านได้ พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน จะทรงกระทำให้ท่านทั้งหลาย เป็นที่เกรงขามและตกใจกลัวของแผ่นดิน ที่ท่านทั้งหลายจะเหยียบย่ำไป ตามที่พระองค์ทรงสัญญาไว้กับท่าน” เฉลยธรรมบัญญัติ 11:19-25

พระวจนะตอนนี้ดูจะยาวไปนิดหนึ่งสำหรับคราวนี้แต่ก็เป็นสิ่งที่ดีที่จะหนุนน้ำใจพวกเราทุกๆ คนที่จะเห็นคุณค่าและความสำคัญแห่งการที่จะต้องสอนถ่ายทอดความจริงแห่งพระพรไปยังคนรุ่นต่อๆ ไปของเราอย่างเอาใจใส่ มีพระพรในพระวจนะ เราจะพบพระพรในพระวจนะอย่างแน่นอน พระคำสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราได้

เริ่มต้นวันนี้อย่างเอาใจใส่ในพระคำของพระองค์ พระคำออกฤทธิ์ในชีวิตของเราได้หากเราเชื่อฟังในพระวจนะยอมรับการสร้างด้วยพระวจนะและอย่าได้หยุดอยู่ที่แค่ตัวเราเท่านั้นแบ่งปันพระพรเหล่านี้ไปยังคนอื่นๆ ด้วย โดยเฉพาะลูกหลานของเราชนรุ่นต่อไป

“จงให้คำสั่งสอนแก่ปราชญ์และเขาจะฉลาดยิ่งขึ้น จงสอนคนชอบธรรมและเขาจะเพิ่มการเรียนรู้มากขึ้น” สุภาษิต 9:9

พบกันใหม่ในสัปดาห์หน้าครับผม

ดู 5 ครั้ง0 ความคิดเห็น

Comments


bottom of page